ข่าวสารและกิจกรรม
BIS ปิดเทรดวันแรก 8.90 บาท สูงขึ้น 48.33% จาก IPO
หุ้น BIS ปิดเทรดวันแรกที่ 8.90 บาท สูงขึ้น 48.33% หรือเพิ่มขึ้น 2.90 บาท จากราคา IPO ที่ 6.00 บาท มูลค่าการซื้อขายที่ 1,631.31 ล้านบาท โดยเปิดเทรดที่ 11.00 บาท ปรับขึ้นสูงสุดที่ 11.30 บาท และต่ำสุดที่ 8.05 บาท
บมจ.ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ (BIS) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแร เปิดแรง 11.00 บาท เพิ่มขึ้น 83% จากราคาไอพีโอ 6.00 บาทต่อหุ้น สูงสุด 11.20 บาท ตอกย้ำศักยภาพแกร่ง หุ้นวัคซีนและยาสัตว์รายแรกในตลาดหุ้นไทย มั่นใจธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง เตรียมขยายกิจการทั้งปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยง
ทั้งนี้ BIS ระดมทุนโดยการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 94 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 29.94% ของทุนจดทะเบียนหลัง IPO คิดเป็นมูลค่าการระดมทุนประมาณ 564 ล้านบาท
BIS ในปี 64 มีกำไรสุทธิเติบโตสูงเป็น 69 ล้านบาท จากกำไรสุทธิ 54 ล้านบาทในปี 63 และ BIS มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 1,987 ล้านบาท จากปี 63 ที่มีรายได้รวม 1,784 ล้านบาท แม้จะเผชิญกับวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 และ โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever : ASF) ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์โดยตรง
โดย BIS มีจุดเด่นหลายด้าน อาทิ การเป็นผู้นำเข้าวัคซีน ยา เวชภัณฑ์ระดับโลก จากกลุ่มผู้ผลิตยาหลายกลุ่ม มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ทั่วประเทศ และสามารถสร้างสรรค์ นวัตกรรม ที่สามารถแก้ปัญหาด้านสุขอนามัยของโลก เช่น การผลิตชุดตรวจโควิด-19 แบบ Real time PCR ซึ่งเป็นผู้ผลิตไทยรายแรกที่กระทรวงสาธารณสุขรับรองมาตรฐาน และการผลิตชุดตรวจโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร หรือ ASF ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ได้รับการตอบรับจากตลาดอย่างสูง มียอดขายเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
ปัจจุบัน รายได้หลักประมาณ 80% ของบริษัทฯ มาจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ซึ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำของอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกมากกว่า 1,200,000 บาท (ไม่รวมมูลค่าการบริโภคในประเทศ) ในปี 65 และประมาณ 20% ของรายได้มาจากธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงซึ่งมีการเติบโตสูง
บริษัทคาดว่าจะได้ประโยชน์จากการที่ประเทศไทยเปิดเมือง ทำให้มีการบริโภคอาหารและเนื้อสัตว์เพิ่มมากขึ้น และการส่งออกอาหารเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทมีรายได้จากชุดตรวจโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (ASF) เติบโตเพิ่มขึ้น 10 เท่า จากนโยบายการตรวจเชิงรุกของลูกค้าภาคเอกชนรายใหญ่ ฟาร์มรายใหญ่และรายย่อยในปี 64 และคาดว่าจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้
เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ยา วัคซีน และเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์และสัตว์เลี้ยงซึ่งจะขยายตัวตามสภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังฟื้นตัว โดยบริษัทฯ เตรียมลงทุนเพื่อผลิตสินค้าแบรนด์ของบริษัทฯ เอง เพื่อเพิ่มรายได้ของกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินสำหรับสัตว์ (Nutrition Product) และลงทุนเพิ่มเติมในการพัฒนาวัคซีนสำหรับสัตว์เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ทดแทนการนำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศ
ในตลาดสัตว์เลี้ยง BIS ได้เซ็นสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายอาหารสุนัขระดับโลก แบรนด์ Pedigree และอาหารแมว แบรนด์ Cesar ให้กับกลุ่ม บริษัท มาร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งแต่มกราคมปีนี้ โดยมุ่งทำตลาดในกลุ่มโรงพยาบาลสัตว์ และคลินิครักษาสัตว์ทั่วประเทศกว่า 1,000 แห่ง และคาดว่าจะได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี
ด้านรายได้รวมผู้บริหารมองว่า รายได้รวมน่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกขยายตัวดีขึ้น การเปิดเมืองช่วยเพิ่มการผลิตและบริโภคเนื้อสัตว์ ส่วนรายได้จากกลุ่มชุดตรวจโรคสัตว์คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องเพราะมีความจำเป็นต่อฟาร์มปศุสัตว์ในการป้องกันการระบาดของโรค นอกจากนี้ ยังได้ปัจจัยหนุนจากกลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง ซึ่งคาดว่ายอดขายแบรนด์ Pedigree และ Cesar จะทำให้ยอดขายกลุ่มสัตว์เลี้ยงเติบโตอย่างมีนัย ผู้บริหาร07’ตั้งเป้าว่ารายได้รวมน่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 64 ไม่น้อยกว่า 20%